วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

การเพาะเลี้ยงไส้เดือนดิน


การเพาะเลี้ยงไส้เดือนดิน

วันที่ : 13 มิถุนายน 2553
ผู้เข้าชม : 4240
              ประโยชน์ของไส้เดือนดินในธรรมชาตินั้น จะช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุ ปลดปล่อยสารอาหารให้พืช ทำให้ดินร่วนซุย แล้วจุลินทรีย์ที่อยู่ร่วมกับไส้เดือนเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ และเป็นแหล่งโปรตีนให้กับสัตว์หลาย ๆ ชนิด เช่น นำไปเลี้ยงปลา สัตว์ปีก เป็นต้น
   
              จากประโยชน์อันหลากหลายของไส้เดือนในหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย, อินเดีย ฯลฯ จึงมีการนำไส้เดือนมาเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโต การใช้ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม ไส้เดือนเปลี่ยนขยะอินทรีย์ เช่น เศษผัก, ผลไม้, เศษอาหารต่าง ๆ ให้กลายเป็นปุ๋ยหมักช่วยลดการฝังกลบขยะ ประโยชน์ในด้านการเกษตรนั้น ปุ๋ยหมัก หรือ น้ำหมัก ที่ได้จากการย่อยสลายของไส้เดือนสามารถนำมาใช้ในการเกษตรอินทรีย์ได้เป็นอย่างดี ด้านอาหารสัตว์ ไส้เดือนถูกนำเป็นโปรตีนในขั้นตอนการเลี้ยงทั้งในรูปไส้เดือนเป็นและทำเป็นผง
   
              ด.ต.มานะ ชิราพฤกษ์ เป็นผู้หนึ่งที่มีความสนใจในการเลี้ยงไส้เดือนดิน และเล่าว่า “ไส้เดือนจะเพิ่มมูลค่าขี้วัว หรือ มูลสัตว์ จากตันละ 1,500 บาท ให้เป็นเงิน 15,000 บาท ต่อตัน” วิธีการเพาะเลี้ยงไส้เดือนดิน เริ่มจากทำที่อยู่ของไส้เดือน นำมูลสัตว์เช่น ขี้วัว มาตากแดดให้แห้งสนิทราว 3-5 วัน ก็นำขี้วัวมาป่นให้ละเอียดด้วยเครื่อง โดยดัดแปลงมาจากเครื่องโม่น้ำแข็ง, นำก้อนเชื้อเห็ดเก่า หรือ ขุยมะพร้าว หรือ ขี้เลื่อย มาป่นให้ละเอียด เช่นเดียวกับขี้วัว

   
              จากนั้น นำขี้วัวป่น 7 ส่วน ผสมกับก้อนเชื้อเห็ดเก่า 3 ส่วน คลุกเคล้าเข้ากันดีแล้วนำวัสดุดังกล่าวไปแช่น้ำสัก 3 คืน โดยเช้าของทุกวันให้เปลี่ยนน้ำใหม่ทุกครั้ง การแช่น้ำจะเป็นการลดความเค็มของปุ๋ยคอกและกำจัดแมลงศัตรูที่อาศัยในวัสดุ, จากนั้นนำวัสดุไปกองในแปลงเพาะเลี้ยงที่จะใช้การก่ออิฐบล็อกสูงเพียง 2 บล็อก กองให้วัสดุมีความหนาราว 10 เซนติเมตร แล้วทิ้งวัสดุดังกล่าวสัก 7 วัน และยังให้วัสดุมีความชื้นตลอด โดยการรดน้ำให้วิธีการทดสอบว่าวัสดุเลี้ยงไส้เดือนใช้ได้หรือยัง ก็จะใช้มือสอดเข้าไปในวัสดุ ถ้าวัสดุมีความเย็นก็นำไส้เดือนเลี้ยง        ได้ หากยังมีความร้อน หรือ ยังอุ่นอยู่ถือว่ายังใช้ไม่ได้, นำไส้เดือนลงปล่อยในวัสดุ โดยฝังไส้เดือนบริเวณ 1 กิโลกรัม ต่อ พื้นที่ 1 ตารางเมตร โดยหากเป็นจำนวนตัวแล้วใน 1 กิโลกรัม ถ้าเป็นไส้เดือนสายพันธุ์แอฟริกาจะมีประมาณ 350-400 ตัว กิจวัตรในการดูแลไส้เดือน ที่จะต้องรดน้ำให้ความชื้นแก่วัสดุเลี้ยงทุก ๆ 2-3 วัน โดยดูตามสภาพอากาศประกอบ ให้อาหาร เช่น เศษผัก, ผลไม้, เศษอาหารกากถั่วต่าง ๆ หญ้า, ฟาง ฯลฯ อาทิตย์ละ 2 ครั้ง โดยการฝังให้เป็นจุด ๆ
   
              ภายใน 3 เดือน วัสดุที่ใช้เลี้ยงไส้เดือนหรือปุ๋ยคอกจะถูกย่อยสลายจนหมด จนกลายเป็นปุ๋ยหมักมูลไส้เดือน ผู้เลี้ยงสามารถนำปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดังกล่าวเก็บไปจำหน่ายได้ โดยทั่วไปจำหน่ายปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนกิโลกรัมละ 30 บาท.
ทวีศักดิ์  ชัยเรืองยศ

ที่มา : เดลินิวส์ ออนไลน์

สีสวาด แมวนำโชค ขึ้นแท่น...สัตว์ประจำชาติ!


สีสวาด แมวนำโชค ขึ้นแท่น...สัตว์ประจำชาติ!

วันที่ : 9 มีนาคม 2553
ผู้เข้าชม : 3119
วิฬาร์เลศพื้น    พรรณราย
ขนดังดอกเลาลาย    เรียบร้อย
โคนขนเมฆมอปลาย    ปลอมเศวต
ตาดั่งน้ำค้างย้อย    หยาดต้องบุษบง
               กลอนบทนี้ปรากฏอยู่ในตำราสมุดข่อยที่บรรยายลักษณะอันงดงามของแมวสีสวาดไทย ซึ่งมีการบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยอยุธยาหรือเมื่อประมาณ 300-400 ปีมาแล้ว จึงถือเป็นลายลักษณ์อักษร  ที่เป็นหลักฐานว่า “แมวสีสวาด” เป็นสมบัติอันล้ำค่าของไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ และ กำลังจะมีการจดลิขสิทธิ์เป็นสัตว์ประจำชาติไทยในวันที่ 12 มีนาคม 2553 ที่จะถึงนี้
   
               ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับว่าที่สัตว์ประจำชาติไทย ตัวใหม่นี้กันก่อน โดย ชูชัย วิเศษจินดาวัฒน์ ประธาน ชมรมอนุรักษ์แมวโคราชเมืองพิมาย ให้ความรู้ว่า แมวสีสวาด (Silver blue) เป็นแมวขนาดกลางมีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ แมวโคราช แมวดอกเลา ซึ่งเป็นแมวพื้นเมืองที่พบในอำเภอพิมาย  จังหวัดนครราชสีมา บางครั้งเราจึงเรียกกันว่า แมวโคราช โดยบันทึกในสมุดข่อยที่เขียนขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. 1893-2310 ปรากฏว่า แมวที่ให้ โชคลาภดี 17 ตัว ของประเทศไทย จะรวมถึงแมว สีสวาดหรือแมวโคราชนี้ด้วย และปัจจุบันสมุดข่อยนี้ถูกเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ   

   
               ชื่อแมวโคราช เป็นชื่อ ที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 5 โดยใช้แหล่งกำเนิดของแมวเป็นชื่อเรียกพันธุ์แมว มีเรื่องเล่ามากมายหรือเป็นตำนานเล่าขานเกี่ยวกับแมวโคราช รวมถึงตำนานพื้นบ้านที่กล่าวถึงการที่แมวโคราชมีหางหงิกงอมากเท่าไหร่จะมีโชคลาภมากเท่านั้น แต่คนไทยมักจะ เรียกแมวโคราชอีกชื่อว่า แมวสีสวาด เพราะสีสวาด แปลว่า สีเทา ซึ่งขนแมวสีสวาดในไทยมี 3 โทนสี ได้แก่ เทาเงิน เทาเงินออกดำ และเทาเงินออกแดง
   
               ขณะที่คนไทยบางกลุ่มมักจะเรียกแมวสีสวาดหรือแมวโคราชว่า “แมวสีดอกเลา” เนื่องจากแมวเพศผู้จะมีสีขนเหมือนดอกเลา และจะต้องมีขนเรียบ ที่โคนขนจะมีสีขุ่น ๆ เทา ส่วนปลายมีสีเงินอ่อน ๆ เป็นประกายคล้ายหยดน้ำค้างบนใบบัว ตามคำกลอนข้างต้นที่ปรากฏอยู่ในสมุดข่อย ถือเป็นโชคดีของเรา ที่เมื่อสมัยอยุธยามีคนเขียนบรรยายเป็นกลอนเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้อ่านและทราบถึงลักษณะพันธุ์ที่แท้จริงของแมวสีสวาด
   
               โดยลักษณะของแมวสีสวาดพันธุ์แท้ต้องมีขนสั้น สีสวาดสีเดียวตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้ามีสีอื่นปนจะไม่ถือว่าเป็นแมวพันธุ์แท้ และจากการสำรวจพบว่าแมวสีสวาดจังหวัดอื่น ๆ จะไม่มีสีดอก เลานอกจากแมวโคราชเท่านั้นที่มี ส่วนศีรษะเมื่อมองจากด้านหน้าจะเป็นเหมือนรูปหัวใจ หน้าผากใหญ่ และแบน คางและกรามแข็งแรง โดยเฉพาะแมวตัวผู้หน้าผากจะมีรอยหยักเป็นรูปหัวใจเด่นชัดมาก ผิวหนังที่บริเวณจมูกและริมฝีปากเป็นสีเงิน หรือม่วงอ่อน โคนหูใหญ่ตั้งเด่นและปลายมน นัยน์ตา กลมใหญ่สีเขียวสดใส แต่เป็นสีเหลืองอำพันเมื่อตัวโตเต็มที่ หางยาว ปลายแหลมชี้ตรง โคนหางใหญ่และ ค่อย ๆ เล็กเรียวกลมไปจนสุดปลายหาง ขายาวเรียว  ได้สัดส่วนกับลำตัวที่ยาวเป็นสง่า
   
               ลักษณะที่เป็นข้อด้อย คือ ขนยาวเกินไปและมีสีอื่นปน นัยน์ตาสองข้างเป็นคนละสีหรือเป็นสีอื่น ตาเอียง จมูกหัก หูไม่ตั้ง หางสั้นขอด หงิกงอมากเกินไปและมีความดุ เลี้ยงลูกไม่ดี เพราะแมวสีสวาดพันธุ์แท้ต้องมีนิสัยขี้เล่น รักเจ้าของ ขี้ประจบเอาใจ โดยใน สมัยโบราณมีความเชื่อว่าแมวโคราชหรือแมวสีสวาดเป็นแมวที่นำโชค เป็นมงคลแก่ผู้เลี้ยง จึงถูกนำไปใช้ในพิธีแห่นางแมวขอฝน เนื่องจากลักษณะตาแมวที่เป็นสีเขียวอัมรินทร์คล้ายเมล็ดข้าวเขียวขจี จึงเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ของธัญญา หาร ส่วนขนแมวที่เป็นสีเทาคล้ายปุยเมฆ ซึ่งในพิธีจะมีการแห่นางแมวและนำน้ำมาราดที่ตัวแมวให้น้ำหยดจากขนลงมา เหมือนฝนตกลงมาจากเมฆ แต่ในปัจจุบันไม่มีแล้วเนื่องจากมองกันว่าเป็นการทารุณสัตว์
   
               อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแมวสีสวาดในประเทศไทย เหลืออยู่ไม่ถึง 2,000 ตัวแล้ว เนื่องจากเดิมทีในอดีตแมว  สีสวาดเป็นแมวพื้นบ้านและพบเห็นกันได้ง่ายจึงไม่มีใครสนใจที่จะเลี้ยงดูหรืออนุรักษ์พันธุ์ไว้อย่างจริงจัง ทำให้จำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว  ดังนั้นทางกลุ่มคนที่เห็นถึงความสำคัญของแมวชนิดนี้ ซึ่งถือเป็นแมวพื้นบ้านและมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่อำเภอพิมาย เราจึงมีการรวมกลุ่มกันเพื่ออนุรักษ์แมวสีสวาดไว้ เพราะถือเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดนครราชสีมาด้วย
   
               ทั้งนี้ที่ผ่านมามีชาวต่างชาติโซนยุโรปให้ความสนใจในการหาซื้อแมวสีสวาดไปเลี้ยงเพื่อพัฒนาพันธุ์ให้ได้ตรงตามบันทึกในใบข่อย ไม่ว่า จะเป็นชาวฝรั่งเศส อเมริกัน ฯลฯ ต่างพากันบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาขอข้อมูลและซื้อแมวสีสวาดไปเลี้ยงเนื่องจากเป็นแมวที่มีลักษณะสง่างาม มีความเชื่องและรักเจ้าของ จึงอยากให้เราคนไทยเห็นคุณค่าของสมบัติที่เรามี รวมทั้งอนุรักษ์ไว้ก่อนที่จะถูกต่างชาติยื้อแย่งไปและเห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะมีการจดลิขสิทธิ์แมวสีสวาดเป็นสัตว์ประจำชาติไทย หากไม่มีอะไรคลาดเคลื่อนในวันที่ 12 มีนาคม 2553 นี้จะมีพิธีจดลิขสิทธิ์แมวไทยสายพันธุ์สีสวาด หรือแมวโคราช เป็นตัวแรกของประเทศ ไทยและของโลก ที่โรงเรียนพิมายวิทยา อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา โดยเชิญกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้รับจด และกรมปศุสัตว์  จะเป็นผู้ระบุคุณสมบัติแมว สีสวาดตามสมุดข่อย
   
               ร่วมกันหวงแหนและอนุรักษ์แมวพันธุ์ไทยซึ่งเป็นสมบัติของชาติตั้งแต่วันนี้เพื่อให้ลูกหลานรุ่นหลังได้ชื่นชม อย่าให้ใครมาว่าเราได้ว่า ไม่รักษาสมบัติอันมีค่าไว้ ปล่อยให้ต่างชาติแย่งชิงไป.
วิธีง่าย ๆ เลี้ยงแมวสีสวาดให้อายุยืน
   
               ประธานชมรมอนุรักษ์แมวโคราช เมืองพิมาย ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจจะเลี้ยงแมวสีสวาด ว่า แมวสีสวาด มีอายุขัยประมาณ 10-15 ปี ใกล้เคียงกับสุนัข และใช้เวลาการตั้งท้องประมาณ 63 วัน คลอดลูกครั้งละ 1-7 ตัว แต่ส่วนมากจะคลอดลูกประมาณ 4 ตัว สำหรับวิธีการเลี้ยงดูหากเลี้ยงที่บ้านปกติควรดูแลเรื่องการให้ยาถ่ายพยาธิและการฉีดวัคซีนมากเป็นพิเศษ
   
               โดยยาถ่ายพยาธิควรให้เป็นระยะ ๆ ประมาณ 3 เดือนต่อ 1 ครั้ง และฉีดวัคซีน 3 ชนิด ปีละ 1 ครั้ง ประกอบด้วย วัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า วัคซีนป้องกันหัดแมว และวัคซีนป้องกันลิวคีเมียร์ ซึ่งลิวคีเมียร์เป็นโรคแมว ลักษณะเป็นไวรัสชนิดหนึ่ง หากเป็นแล้วมักไม่มียารักษา จึงต้องฉีดยาป้องกันไว้ก่อน แค่นี้แมวสีสวาดก็จะมีอายุยืนยาวอยู่กับเราได้นาน ๆ
ทีมวาไรตี้
ที่มา และ ภาพประกอบ : เดลินิวส์ ออนไลน์

แพ้ขนแมว จะทำอย่างไร


แพ้ขนแมว จะทำอย่างไร

วันที่ : 7 เมษายน 2553
ผู้เข้าชม : 2314
          ส่วนใหญ่เราจะเข้าใจว่าแมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่ก่อโรคภูมิแพ้ได้ง่ายกว่าสุนัข เพราะขนแมวเล็ก เบา และมีโอกาสเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าขนสุนัข แล้วความจริงคืออะไร...
          มีงานวิจัยพบว่า การแพ้สัตว์เลี้ยงนั้น เราอาจจะไม่ได้แพ้ขนแมวเพียงอย่างเดียว แต่สามารถแพ้ฝุ่นที่อยู่บันตัวแมวหรือตัวไรชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็กมากที่อาศัยอยู่บนขนของแมวก็เป็นได้ และอาจรวไปถึงการแพ้ขนสุนัขและสัตว์ชนิดอื่น ๆ ด้วย ดังนั้นทั้งขนแมวและขนสุนัข ก็สามารถก่อภูมิแพ้ได้ไม่แตกต่างกัน
   ทำไมภูมิแพ้ไม่เป็นกับคนทุกคน
          มีรายงานว่าคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นภูมิแพ้มีโอกาสที่จะเป็นภูมิแพ้ได้มากกว่าคนที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่เคยมีประวัติมาก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่ครอบครัวไม่เคยมีประวัติการแพ้จะไม่เป็นภูมิแพ้นะคะ แม้ว่าครอบครัวจะไม่มีประวัติการแพ้จะไม่เป็นภูมิแพ้ แต่ด้วยสภาวะแวดล้อมหรือโอกาสสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้มีมาก ก็มีผลที่จะทำให้มีโอกาสเป็นภูมิแพ้ได้มากด้วย ซึ่งภาวะภูมิแพ้ในอเมริกา พบว่าภาวะภูมิแพ้ที่เกิดจากสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นสุนัขหรือแมว คิดเป็น 15% ของประชากรทั้งหมด
   การแพ้ขนแมวเกิดขึ้นได้อย่างไร
          พบว่าสาเหตุสำคัญของการแพ้ขนแมวเกิดจากสารชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า สารก่อภูมิแพ้จากแมว  1 สารก่อภูมิแพ้ชนิดนี้มีขนาดเล็กมาก พบได้ในน้ำลายและบนผิวหนังแมว พอแมวเลียขนสารก่อภูมิแพ้จะเคลือบบนขนแมว และสามารถสะสมอยู่ได้นาน 5-6 เดือน เลยทีเดียว
   อาการที่เกิดขึ้นจากการแพ้ขนแมวเป็นอย่างไร
          อาการของการเป็นภูมิแพ้ แสดงออกได้หลายแบบ ไม่เพียงแต่อาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น จาม ไอ เป็นหวัด มีน้ำมูกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอาการทางผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัส เช่น คัน เป็นผื่นแดง ระดับของการแพ้ก็มีหลายระดับ ตั้งแต่เป็นเล็กน้อย จนกระทั่งรุนแรงมาก เช่น กรณีของการมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ ก็จะเริ่มตั้งแต่ จาม ไอ ธรรมดา จนกระทั่งถึงอาการหอบ หายใจไม่ออก
   เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราแพ้สัตว์เลี้ยงชนิดนั้น ๆ
          คำตอบก็คือ ต้องใช้การสังเกตว่าถ้าเราอยู่ใกล้แมว หรือสัตว์ชนิดใดก็ตาม แล้วมีอากรเกิดขึ้น ก็ให้ลองอยู่ห่างจากสัตว์ชนิดนั้น สัก 1-2 สัปดาห์ ถ้าหากอาการดีขึ้นแล้วกลับมาเป็นอีก ถ้าอยู่ใกล้สัตว์ชนิดนั้นอีก ก็ให้ตั้งข้อสังเกตว่าเราอาจจะเป็นภูมิแพ้สัตว์ชนิดนั้น ส่วนวิธีที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าเราแพ้ขนสัตว์จริง ๆ ก็ต้องไปทำการทดสอบกับคุณหมอโรคภูมิแพ้เพื่อประโยชน์ในการที่จะควบคุมอาการและหลีกเลี่ยงจากต้นเหตุที่ก่อภูมิแพ้
   ทำอย่างไรดี เมื่อต้องอยู่ร่วมกับสัตว์ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้
          สิ่งที่เราลำบากใจมาก็คือ เมื่อสัตว์เลี้ยงที่เรารักเป็นสาเหตุของการก่อให้เกิดภูมิแพ้ เราจะทำอย่างไรดี มีข้อปฏิบัติที่อาจจะช่วยทำให้อาการแพ้บรรเท่าลงได้
          - อย่าเอาสัตว์เลี้ยงไว้ในห้องนอน
          - ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ
          - ทำความสะอาดและดูดฝุ่นเป็นประจำ
          - อาบน้ำสัตว์เลี้ยงอย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง
          - อย่านำสัตว์เลี้ยงมาเล่นบนเฟอร์นิเจอร์
          - อย่านำสัตว์เลี้ยงขึ้นรถ
          - แปรงขนให้เหมียวทุกวันเพื่อลดเศษขน ฝุ่นละออง จากแมว
          - ให้วิตามินพวกโอเมก้าเพื่อลดการหลุดร่วงของขน
          - ล้างมือทุกครั้งหลัลเล่นกับแมว
          - ทำความสะอาดของเล่น ที่นอนเหมียวทุกอาทิตย์
          - อย่าลืมพบหมอเพื่อปรึกษาอาการภูมิแพ้ที่เกิดขึ้น
          หลายคนที่อยากเลี้ยงสัตว์ แต่ไม่สามารถทำได้เพราะตัวเองเป็นภูมิแพ้บ้าง ลูกหรือคนในครอบครัวเป็นภูมิแพ้บ้าง เคยมีคนคิดไหมคะว่า ทำไมไม่มีสัตว์เลี้ยงที่ไม่ก่อภูมิแพ้ออกมาขายบ้าง
          ....แน่นอนค่ะ นักวิทยาศสตร์ไม่หยุดคิดอยู่แล้ว และหนึ่งในนวัตกรรมที่ออกมาแล้วก็คือ แมวโคลนนิ่ง ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ซึ่งได้มีการผลิตออกมาจำหน่ายให้แก่ผู้มีสตางค์ที่เป็นภูมิแพ้และอยากจะเลี้ยงแมวกันบ้างแล้ว แต่ราคาคงไม่เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจบ้านเราในขณะนี้
คอลัมน์ Cat Care โดย สพ.ญ.ภควัน ศาสตรานรากุล

ปูม้านิ่ม ของดีมีคุณค่า


ปูม้านิ่ม ของดีมีคุณค่า

วันที่ : 7 มกราคม 2553
ผู้เข้าชม : 1085
               สมัยก่อนยังไม่รู้จัก “ปูนิ่ม” ได้แต่นึกว่า ปูมันนิ่มได้อย่างไร ทำไมปูถึงนิ่ม...ตอนหลังจึงได้รู้ว่า ปูทุกตัวต้องผ่านการลอกคราบกว่าจะโตเต็มที่ต้องลอกคราบกว่า 10 ครั้ง ปูนิ่มคือปูที่ลอกคราบใหม่ ๆ มันสลัดกระดองเก่าทิ้งไป เหลือแต่เยื่อบาง ๆ หุ้มตัวปูที่มีลักษณะนิ่ม นี่แหละที่เขาเรียกกันว่า ปูนิ่ม ที่สามารถบริโภคได้ทั้งตัว เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชอบกินปูแต่ไม่ชอบแกะเปลือก คิดดูสิ รับประทานปูตอนที่มันกระดองแข็ง ๆ บางทีแกะไปมันก็ทิ่มตำมือเลือดไหลก็มี ต้องลำบากคนนั่งข้าง ๆ แกะให้รับประทานอีก...
   
               สำหรับวันนี้จะพูดถึง “ปูม้านิ่ม”ที่ยังรู้จักมักจี่กันไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่คนไทยรู้จักปูดำนิ่มมากกว่า ที่เห็นรับประทานกันอยู่ตามร้านอาหาร (ใหญ่ ๆ) ก็คือปูดำนิ่มนั่นเอง ส่วนปูม้านิ่มนั้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ มยุรี จัยวัฒน์ แห่งคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ดำเนินการร่วมกับเกษตรกร และผู้ประกอบการปูนิ่ม ผลิตปูม้านิ่ม นำร่องธุรกิจที่บ้านเกาะเตียบ ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร แล้วนำไปทดสอบตลาด พบว่าได้รับการตอบรับสูง แต่ ผศ.มยุรี บอกว่า ปูม้านิ่มลอกคราบแล้วสร้างเปลือกแข็งเร็วมาก เร็วกว่าปูดำ ไม่ถึงชั่วโมงกระดองก็แข็งแล้ว ชาวประมงเมื่อจับได้ปูม้าสองกระดองหรือ ปูม้าที่เพิ่งลอกคราบใหม่ ๆ มักแยกไว้รับประทานกันเองเพราะอร่อยด้วยรสชาติแท้ ๆ ของปูและความนุ่มแน่นของเนื้อปู ปูม้านิ่มสำหรับคนไทยจึงเป็นของหายาก และเป็นของแปลกใหม่ ในขณะที่ปูม้านิ่มของฝรั่ง (soft shell blue crab) ซึ่งมีลักษณะคล้ายปูม้าของไทยมากกลับเป็นสินค้าที่ฝรั่งนิยมรับประทานมานานกว่า 100 ปี เพราะมีสีสันสวยงาม มีรูปลักษณ์น่ารับประทาน ไม่ต้องแกะกระดองปูออกก่อน และมีจำหน่ายเฉพาะบางช่วงฤดูกาลเท่านั้น
   
               “ไม่เฉพาะแต่กระดองปูที่แข็งตัวเร็ว แต่มีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดความยุ่งยากมากขึ้นไปอีกที่นักวิจัยต้องใช้ความพยายามนำวิทยาศาสตร์ผสมผสานกับภูมิปัญญาคนไทย สร้างเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตให้มีปริมาณผลผลิตมากขึ้นและดีขึ้นโดยลำดับ เพื่อเพิ่มมูลค่าทรัพยากรไทย และเพื่ออนาคตของเกษตรกรไทยจากปูกระดองแข็งเป็นปูกระดองนิ่ม หรือปูนิ่ม ธรรมชาติได้เพิ่มคุณค่าและมูลค่าให้กับการบริโภคปูในระดับหนึ่ง อย่างที่ทราบกันโดยทั่วไป ก่อนการลอกคราบ ปูจะลดการเคลื่อนไหว จะไม่กินอาหาร ปูนิ่มจึงสะอาด ปริมาณแบคทีเรียปนเปื้อนต่ำมาก ไม่พบแบคทีเรีย ก่อโรค ในขณะเดียวกันปูจะดูดซับและสะสมของดี ๆ เช่นธาตุอาหาร และสารอาหาร ทั้งจากน้ำทะเลและจากกระดองเดิมเข้าไว้ในตัวก่อนจะสลัดกระดองเก่าทิ้ง” ผศ.มยุรี กล่าว
   
               การเพิ่มคุณค่าทางอาหารของปูม้านิ่มเกิดจากการดูดซับและสะสมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต ผลการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า ปูม้านิ่ม 100 กรัมให้สารอาหารแตกต่างจากปูม้ากระดองแข็งและแหล่งอาหารอื่น ๆ โดยให้คุณค่าทางอาหารที่เหมาะกับยุคสมัยของคนรักสุขภาพ เช่น ให้พลังงานต่ำ (56 กิโลแคลอรี) ไขมันต่ำ (1.1 ก.) คอเลสเตอรอลต่ำ (73 มก.) แคลเซียมสูง (257 มก.) ใยอาหารสูง (0.72 ก.) กินแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องอ้วน เรื่องโรคหัวใจ  ให้ปวดศีรษะ
   
               จากผลการวิจัยพบว่า ปูม้าเพศผู้มีการเพิ่มขึ้นของขนาดและน้ำหนักสูงกว่าปูม้าเพศเมียอย่างมีนัยสำคัญ การทดลองปูม้าเพศผู้ ขนาดกระดองก่อนลอกคราบ 4.1-5.3 ซม. หนัก 38.9-85.6 ก. หลังลอกคราบ ขนาดกระดองเพิ่มขึ้น 0.4-0.9 ซม. คิดเป็นร้อยละ 9.76-19.51 เฉลี่ยร้อยละ 14.89 น้ำหนักเพิ่มขึ้น 23.5-50.7 ก. คิดเป็นร้อยละ 54.34-89.32 เฉลี่ยร้อยละ 65.79

   
               ส่วนปูม้าเพศเมีย ขนาดกระดองก่อนลอกคราบ 3.1-5.6 ซม. หนัก 20.1-78.2 ก. หลังลอกคราบขนาดกระดองเพิ่มขึ้น 0.4-0.8 ซม. คิดเป็นร้อยละ 9.26-17.02 เฉลี่ยร้อยละ 12.62 มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 9.4-23.5 ก. คิดเป็นร้อยละ 30.05-60.26 เฉลี่ยร้อยละ 43.32
   
สำหรับผู้สนใจร่วมผลิตปูม้านิ่มเป็นการค้า โทรฯ ไปสนทนา กับ ผศ.มยุรี จัยวัฒน์ ได้ที่ 08-1341-7057.
ที่มา และ ภาพประกอบ : เดลินิวส์ ออนไลน์

การเลี้ยงแมลงดา


                    "แมลงดานา” ถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ที่มีมูลค่าการซื้อขายปีละหลายสิบล้านบาท ซึ่งมักจะอาศัยอยู่ในสภาพธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีเฉพาะในบางฤดูกาลเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่ขายอยู่ตามท้องตลาดจะนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านคือพม่าและกัมพูชาเกือบทั้งหมด โดยตัวหนึ่งราคาขายอยู่ที่ตัวละ 8-10 บาท ปัจจุบันในบ้านเราจับได้ไม่มากนักเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และพบว่ามีผู้ที่ประสบความสำเร็จจากการเลี้ยงแมลงดานาในเชิงพาณิชย์น้อยมาก เหตุผลหนึ่งของการเลี้ยงที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะผลการเลี้ยงมีอัตราการรอดต่ำ ทั้งนี้เนื่องจากแมลงดานามีพฤติกรรมในการกินกันเองสูง มีการกินกันเองได้ทุกระยะ ของการเจริญเติบโต
   
                    ผศ.พัชรี มงคลวัย อาจารย์ประจำคณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเทคโน โลยีราชมงคล (มทร.) อีสาน วิทยาเขตสกลนคร ร่วมกับคณะผู้วิจัยจึงคิดค้นงานวิจัยเกี่ยวกับการตลาดและการเพาะเลี้ยง แมลงดานา แมลงดานาที่พบเห็นในประ เทศไทยมีอยู่ 3 พันธุ์คือ แมลงดานาพันธุ์หม้อ, แมลงดานาพันธุ์ลาย และ แมลงดานาพันธุ์เหลือง หรือ พันธุ์ทอง ซึ่งพันธุ์หม้อ มีลักษณะที่สังเกตได้คือ ขอบปีกมีลายสีทอง และ คลุมไม่มิดส่วนหาง ขยายพันธุ์ได้เร็วและมีไข่ดก ซึ่งจะพบพันธุ์นี้วางขายอยู่มากในท้องตลาด พันธุ์ลาย มีลักษณะที่สังเกตได้คือ ขอบปีกมีลายสีทองเช่นเดียวกัน แต่จะคลุมมิดส่วนหาง มีการวางไข่แต่ละครั้งไม่แน่นอน และ พันธุ์เหลือง หรือ พันธุ์ทอง มีลักษณะที่สังเกตได้ คือ จะมีสีเหลืองทั้งตัวและ จำนวนไข่ไม่แน่นอน เช่นเดียวกับพันธุ์ลาย ตลอดจนมีนิสัย ชอบกินแมลงดานาพันธุ์อื่น ๆ เป็นอาหาร ดังนั้นควร แยกพันธุ์นี้ออกไปเลี้ยงต่างหาก โดยผู้เลี้ยงอาจเก็บรวบรวม  ลูกแมลงดานาจากแหล่งน้ำในธรรมชาติ  มาเลี้ยง หรือ จับแมลงดานาตัวเต็มวัยมาเพาะพันธุ์ภายในบ่อดิน โดยรวบรวมแมลงดานาในช่วงต้นฤดูฝน เดือนเมษายน ถึง พฤษภาคม และ ช่วงปลายฤดูฝนเดือนกันยายน ถึง ตุลาคม ชีพจักรของแมลงดานา ตั้งแต่ไข่จนถึงตัวแก่มีอายุประมาณ 32-43 วัน โดยมีการลอกคราบ 5 ครั้ง และระยะตัวแก่จนถึงเริ่มไข่ได้ใช้เวลาประมาณ 30-40 วัน รวมใช้เวลาตั้งแต่ฟักออกจากไข่จนถึงระยะการผสมพันธุ์วางไข่ ประมาณ 62-83 วัน
   
                    การเร่งให้แมลงดานาผสมพันธุ์และ วางไข่ทำได้โดยลดระดับน้ำเดิมที่มีอยู่ในบ่อที่ระดับ 70-80 เซนติเมตร ให้เหลือ 40-50 เซนติเมตร เพื่อหลอกให้แมลงดานาเข้าใจว่าจะเข้าฤดูแล้งแล้วจะได้วางไข่ จากนั้นทดน้ำเข้าไปในบ่อ โดยให้ระดับน้ำสูง 90 เซนติเมตร หรือเกือบเต็มบ่อซึ่งการทำเช่นนี้เป็นการหลอกให้แมลงดานาคิดว่าฝนตกหรือเข้าฤดูฝนแล้ว จากนั้น อีกประมาณ 2-3 วัน แมลงดานาก็จะมาไข่ที่บนหลักไม้ที่ปักไว้ ควรจะทำในเดือนเมษายน หรือ ฝนแรกที่ตกลงมา.
ทวีศักดิ์  ชัยเรืองยศ


ที่มา : เดลินิวส์ ออนไลน์

พันธุ์นก


พันธุ์นก

บทความ ความรู้เกี่ยวกับ พันธุ์ต่างๆ ของนก

วิธีเพาะเลี้ยงนกเขาใหญ่ด่าง

ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาวงการเลี้ยงนกสวยงามได้ให้ความสนใจในการเลี้ยงนกเขาใหญ่ด่างและนกเขาใหญ่เผือกกันมากขึ้น ด้วยความแปลกในเรื่องของสีขนที่มีสีขาวขึ้นแซม มีสีขาวแซมมากยิ่งสวยมาก

นก อีเสือสีน้ำตาล ฟันแหลมคม ฉีกอาหารกินคล้ายเสือ

อีเสือสีน้ำตาล (Brown shrike) เป็นนกเมืองหนาวอพยพย้ายถิ่นอาศัยเข้ามาหากินในประ–เทศไทย พบได้บ่อยในช่วงปลายฤดูร้อนและปลายฤดูฝน ทั่วประเทศมีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิด

นกฟินช์ สัตว์ปีกสีสันสวยงาม ธรรมชาติสร้างเหนือคำบรรยาย

นกฟินช์...Gouldian Finch หรือที่รู้จักในชื่อนก Rainbow และนก Lady Gouldian เป็น นกที่มีขนาดเล็ก มีสีสันที่สวยงาม โดยเฉพาะหัวจะมีสีสันมากมาย ทั้ง สีแดง สีดำ สีเหลือง หน้าอกส่วนใหญ่มีสีม่วงเข้ม

งานบ้าน


ใบความรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี  (งานบ้าน)                  รหัส ง 3111 
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1                                                           ผู้สอน   นางสารภี   พลศักดิ์

เรื่อง   การวางแผนทำงานบ้าน


                การศึกษาเรื่องการดำรงชีวิตและครอบครัวสามารถแบ่งรายละเอียดได้ดังนี้
1.       ความหมายของงานบ้าน
งานบ้าน  หมายถึง  กิจกรรมต่าง ๆ  ที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตประจำวันในการสร้างความสุขของสมาชิกทุกคนในบ้าน  ซึ่งต้องปฏิบัติเป็นประจำ  โดยอาศัยความร่วมมือ  ร่วมแรง  ร่วมใจของสมาชิก   ทุกคนในบ้าน

 











2.       ขั้นตอนและประโยชน์ของการวางแผนทำงานบ้าน
การวางแผนทำงานบ้าน คือ  การกำหนดแนวปฏิบัติงานไว้ล่วงหน้า  ว่าจะทำอย่างไร  ทำเมื่อไร  ทำโดยวิธีใด  ใครเป็นผู้ทำและกำหนดงานเสร็จเมื่อไร
ขั้นตอนการวางแผนทำงานบ้าน
                ก่อนทำงานบ้านควรวางแผนเป็นลำดับขั้นจะช่วยให้ทำงานได้สะดวก รวดเร็ว เรียบร้อยและมีคุณภาพ  ซึ่งมีขั้นตอนในการวางแผนทำงานบ้าน  ดังนี้



1)       รวบรวมงาน  แจกแจงรายละเอียดและกำหนดระยะเวลาการทำงาน
ประเภทของงานบ้าน
งานประจำวัน
งานประจำสัปดาห์
งานประจำเดือน
งานทำอาหาร
         เตรียมและประกอบอาหาร
         จัดโต๊ะอาหาร
      ล้างภาชนะเครื่องใช้ในการรับประทานอาหาร
         ทำความสะอาดตู้กับข้าว
         ทำความสะอาดตู้เย็น

งานซักรีด
ซ่อมแซม
ดัดแปลงเสื้อผ้า
         ซักผ้า
         เก็บพับเสื้อผ้า 
         รีดผ้า
         จัดตู้เสื้อผ้า
         ซักผ้าปูที่นอน
         ซักปลอกหมอน
         ซักผ้าห่ม
งานทำความ
สะอาดเครื่องเรือน
เครื่องใช้ในบ้าน
         ทำความสะอาดโต๊ะอาหาร
         ทำความสะอาดเตาแก๊ส
         ทำความสะอาดพัดลม
      ทำความสะอาดเครื่องใช้อื่น ๆ เช่น เครื่องกรองน้ำตู้หนังสือ
         ทำความสะอาด
      มุ้งลวด
จัดตกแต่งบ้าน
และดูแลบริเวณ
บ้าน
         เก็บที่นอน
      ปัดกวาด เช็ดถูพื้นห้องทุกห้อง
         รดน้ำต้นไม้
         ทำความสะอาดห้องน้ำ
         ทำความสะอาดห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน
         ปัดกวาดหยากไย่
         ตัด ตกแต่งกิ่งไม้
         ตัดหญ้า
งานเลี้ยงดูเด็กและคนชรา
         จัดให้รับประทานอาหาร
         ดูแลความสะอาดร่างกาย
                   ดูแลตู้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
                   พูดคุยให้เกิดความบันเทิง
         สระผม
         ตัดเล็บ
         พาไปพักผ่อน
      นอกสถานที่

งานดูแลสัตว์เลี้ยง
–    ให้อาหาร 
–    ทำความสะอาดร่างกาย
–    ตรวจโรค 

2)     เขียนแผนการทำงาน  เป็นการนำข้อมูลที่รวบรวมมาเขียนเป็นแผนการปฏิบัติงาน  ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ  คือ แผนการปฏิบัติงานประจำวัน  แผนการปฏิบัติงานประจำสัปดาห์ และแผนการปฏิบัติงานประจำเดือน การเขียนแผนการปฏิบัติงานต้องกำหนดหัวข้อที่สำคัญ  ดังนี้
(1)     งานที่ปฏิบัติ  ระบุงานและขอบข่ายงานที่ทำให้ชัดเจน
(2)     จุดประสงค์ในการทำงานเพื่ออะไร  เช่น  เพื่อความสะดวก  เพื่อความสวยงาม  เป็นต้น
(3)     วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้  จัดเตรียมสำหรับปฏิบัติงานในแต่ละครั้งให้พร้อม
(4)     กำหนดเวลา ต้องกำหนดระยะเวลาในการปฏิบัติงานให้ชัดเจน  เช่น  เมื่อใด  เวลาใด  ระยะเวลาเท่าไร
(5)     กำหนดขั้นตอนในการทำงาน  ให้ระบุการทำงานให้ชัดเจนว่างานใดทำก่อน  ทำหลังให้เป็นขั้นตอน
(6)     กำหนดผู้รับผิดชอบ ให้ระบุผู้รับผิดชอบให้เหมาะสมกับงานแต่ละงานให้ชัดเจน
(7)     กำหนดค่าใช้จ่าย กำหนดรายการวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องซื้อและประมาณค่าใช้จ่าย

พันธุ์สุนัข


10 สุนัขพันธุ์เล็ก น่ารัก ที่คนนิยมเลี้ยง

10 สุนัขพันธุ์เล็ก น่ารัก ที่คนนิยมเลี้ยง


  สำหรับใครที่อยากจะเลี้ยงน้องหมาน่ารัก ๆ ไว้สักตัว แต่ทว่าเนื้อที่ภายในบ้านนั้นมีจำกัด หรือไม่ก็มีเรื่องของปัจจัยต่าง ๆ นานาที่ไม่สะดวกจะเลี้ยงสุนัขตัวโต ๆ เหล่าบรรดาสุนัขสายพันธุ์เล็กทั้งหลาย จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย

          แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เจ้าตูบสายพันธุ์เล็กก็มีมากมายหลากสายพันธุ์ให้ได้ดูแลอีก ฉะนั้นแล้ว เราลองมาดูกันหน่อยว่า มีสุนัขพันธุ์เล็กตัวไหนบ้างที่ผู้คนนิยมเลี้ยงกัน แล้วสายพันธุ์ไหนที่เหมาะและถูกชะตากับคุณผู้อ่านมากที่สุด พร้อมวิธีการดูแลสุนัขพันธุ์เล็กแต่ละสายพันธุ์ ด้วย 10 สุนัขสายพันธุ์เล็ก น่ารัก ที่คนนิยมเลี้ยงตามนี้เลยจ้า





 1. ชิสุ

           อาจเป็นเพราะภาพลักษณ์หมาน้อยตากลมโต  ผูกโบว์ที่หน้าผาก มีขนยาวสวย ดูสง่างาม ขนาดพอเหมาะ พาไปไหนมาไหนได้ไม่ลำบาก แถมยังนิสัยเป็นมิตร ขี้เล่น และช่างประจบ เลยทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยหลงใหลได้ปลื้มเจ้าสุนัขพันธุ์ "ชิสุ" และเลี้ยงเป็นสมาชิกสี่ขาประจำครอบครัวกันอย่างแพร่หลาย แต่รู้ไหมว่าประวัติความเป็นมาของ สุนัข ชิสุ น่ะ เป็น ถึง 1 ใน 3 สุนัข ชั้นสูงจากจักรพรรดิจีนเชียวนะ 


 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ชิสุ

           ชิสุ เป็น สุนัข ขนาดเล็กในกลุ่มทอย (Toy Group) มีน้ำหนักประมาณ 4.5 - 7.5 กิโลกรัม (หรือราว 10 - 16 ปอนด์) ส่วนสูงประมาณ 25 - 27 ซม. (หรือราว 10 - 11 นิ้ว)

           ทั้งนี้ ชิสุ มีลักษณะนิสัย กล้าหาญ มีความตื่นตัว ขี้ประจบ มีความสง่าอยู่ในตัว เดินหน้าเชิด การย่างก้าวสง่าผ่าเผย นอกจากนี้ ชิสุ ยังรักความสะอาด เป็นมิตรกับทุกคน ปรับตัวได้ดี และชอบที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ กับเจ้าของในทุกเรื่อง แล้วก็ไม่ชอบถูกทิ้งไว้ในบ้าน ชิสุชอบวิ่งและรักความสนุกซึ่งเจ้าของจำเป็นจะต้องพามันออกไปวิ่งออกกำลังกายบ้าง

 การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ชิสุ

           ชิสุมีอายุค่อนข้างยืนยาว คือประมาณ 10-18 ปี ตามแต่ปัจจัยต่าง ๆ เช่น อาหาร และการเลี้ยงดู โรคที่มักเกิดขึ้นกับชิสุ คือโรคตาแห้ง โรคหูน้ำหนวก หูอักเสบ โดยเจ้าของควรหมั่นทำความสะอาดตาและหูของชิสุ อย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดของมันโดยเฉพาะ ส่วนโรคอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับชิสุ ได้ เช่น โรคนิ่ว โรคไต และไส้เลื่อน
        
           นอกจากนี้ ขนเป็นส่วนประกอบสำคัญที่เป็นตัวชี้วัดความสวยงามของชิสุ โดยเฉพาะ ชิสุเป็นสุนัขขนยาวที่จะต้องดูแลมากเป็นพิเศษ เนื่องจากมีขนเส้นเล็กและพันกันได้ง่าย หากไม่รู้จักวิธีการรักษาขนให้ดี ขนของชิสุจะพันกันและมีโอกาสเป็นโรคผิวหนังได้ง่าย ๆ ทั้งนี้ การแปรงขนอย่างสม่ำเสมอทุกวันจะช่วยให้ผิวหนังและขนสะอาดของชิสุเป็นเงางาม เพราะมีการนวดให้ต่อมน้ำมันที่โคนขนขับน้ำมันออกมาเคลือบเส้นผมได้มากขึ้น ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพสมบูรณ์ และยังเป็นการช่วยขจัดรังแคและสิ่งสกปรกอื่นออกจากผิวหนังของชิสุด้วย

           อาหารที่เหมาะกับเจ้าชิสุสุดสวย ควรเป็นอาหารเม็ดมากกว่าอาหารกระป๋อง เพราะสุนัขมีขนยาว หากให้กินอาหารกระป๋องจะทำให้เลอะหนวดเครา เหม็นคาว ทำให้ต้องทำความสะอาดกันทุกครั้งไป และหากล้างออกไม่หมดก็จะกลายเป็นที่สะสมของเชื้อโรค อีกทั้งถ้าให้อาหารกระป๋องต้องใช้ให้หมดในคราวเดียว ไม่เช่นนั้นจะเสี่ยงต่อสุขภาพของชิสุของคุณได้ ดังนั้น ทางเลือกที่เหมาะที่สุดเห็นจะเป็นอาหารเม็ด ทั้งนี้ การเลือกซื้อควรเลือกประเภทสำหรับสุนัขพันธุ์เล็ก  โดยเลือกดูให้เหมาะกับช่วงวัยของชิสุด้วย เช่น ถ้าเป็นอาหารลูกสุนัขข้างถุงจะพิมพ์ไว้ว่า Puppy มีโปรตีนมากกว่า เม็ดจะเล็กกว่า และจะแพงกว่าอาหารสุนัขโตนิดหน่อย

           อ่านบทความสุนัขพันธฺุ์ชิสุ ได้ที่นี่ 





 2. ปอมเมอเรเนียน

           หากพูดถึงสุนัขตัวเล็ก ๆ ขนฟู ๆ หางเป็นพวง จมูกแหลม ๆ ตาแป๋วเป็นประกาย แน่นอนว่าสุนัขที่ว่านี้คือพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน  ที่ไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องขอจับ ขอสัมผัส ความน่ารักกันใกล้ ๆ แต่ที่เห็นน่ารัก ดูบอบบางเหมือนคุณหนูแบบนี้ แท้จริงแล้ว ปอมเมอเรเนียนมีต้นตระกูลมาจากสุนัขลากเลื่อนของประเทศไอซ์แลนด์และเลปแลนด์ บริเวณตอนเหนือของทวีปยุโรปโน่นแน่ะ


 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน

           ปอมเมอเรเนียน เป็นสุนัขที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1.7-2.5 กิโลกรัม ถ้าน้ำหนักน้อยหรือมากกว่านี้ จะถือว่าไม่ได้มาตรฐานสายพันธุ์  เป็นสุนัขที่ว่องไวปราดเปรียว มีขนชั้นในที่แน่นและนุ่ม และมีขนชั้นนอกที่หยาบกว่าชั้นใน หางสวยงามเป็นพวงขน และตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูง หางจะขนานไปกับหลัง โดยลักษณะนิสัยพื้นฐานของปอมเมอเรเนียนนี้ คือ จะตื่นตัวเสมอ เห่าเก่ง  มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น อวดดี สง่างาม และขณะก้าวย่างแสดงถึงความมีชีวิตชีวา เป็นพันธุ์สมบูรณ์ทั้งรูปร่างและการเคลื่อนไหว

 การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน

          การดูแลขนของปอมเมอเรเนียนต้องได้รับการแปรงขนทุกวันหรืออาทิตย์ละสองครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อที่จะให้ขนที่หนาและสวยไม่พันกัน ขนของปอมเมอเรเนียน ต้องการการเล็มบ้างแค่ครั้งคราว ส่วนการดูแลหูและเล็บเป็นประจำเป็นสิ่งที่แนะนำรวมกับการอาบน้ำ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรอาบน้ำให้ปอมเมอเรเนียนบ่อยมากจนเกินไป เพราะการอาบน้ำบ่อยจะทำให้หนังและขนเแห้งจนเกินไป เนื่องจากน้ำมันที่จำเป็นถูกล้างออกไปหมด

          นอกจากการดูแลขนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่มากที่สุดสำหรับสุนัขปอมเมอเรเนียน คือการได้รับการดูแลสุขภาพปากและฟันเป็นอย่างดี เนื่องจากปอมเมอเรเนียนง่ายต่อการสูญเสียฟันอันเนื่องมาจากปัญหาฟันผุ หรือสุขภาพเหงือกไม่ดี จึงต้องมั่นทำความสะอาดฟันให้เป็นประจำ และควรให้อาหารชนิดแห้งเพื่อลดปัญหาสุขภาพปากและฟัน

          อ่านบทความสุนัขพันธฺุ์ปอมเมเรเนียน ได้ที่นี่


 3. พุดเดิ้ล

          สุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลได้ชื่อว่าเป็นสุนัขที่มีความนิยมอันดับหนึ่งของโลกและขึ้นชื่อว่าฉลาด ฝึกง่าย สอนง่าย ขี้อ้อน และประจบเก่งเป็นที่สุด แถมยังอดทนไม่ขี้แย เลี้ยงง่าย แม้จะปากเปราะไปบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นหมาที่เห่าไม่รู้เรื่อง ยิ่งในบ้านเรา พุดเดิ้ลสายพันธุ์นิยมเลี้ยงกันคือ พุดเดิ้ลทอย มันกลายเป็นหวานใจตัวจ้อยของหลาย ๆ ครอบครัว เพราะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แถมยังมีลักษณะเป็นเหมือนเหมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต สดใสมีชีวิตชีวา มีนิสัยรักสวยรักงาม ชอบเสริมสวย ชอบเที่ยว และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้เร็ว


 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ล

          พุดเดิ้ล ถูกจัดอยู่กลุ่ม สุนัข ที่ไม่ใช้ในเกมกีฬา (Non sporting Group) เป็นสุนัขประเภทสวยงาม ปากเรียวยาว ดวงตากลมโต หูห้อยลงมาปิดแก้ม ขนดกและหยิกชนิดติดหนัง ขนสั้นและเงางาม ขนค่อนข้างละเอียด เรียบ หยาบเล็กน้อยและไม่มีขนปุกปุย สีขนมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลแก่ มีขนสีขาวแต้มบริเวณหน้าอกเรียกว่า สตาร์ ข้อเท้า และปลายหาง อาจจะมีจุดสีขาวเล็กน้อยบริเวณใบหน้า จมูกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อมันตกใจ

 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์พุดเดิ้ล

          อาหารการกินของสุนัขพุดเดิ้ล ควรให้เป็นอาหารสำเร็จรูปจะดีที่สุด อาหารสำเร็จรูปนั้นมีอยู่หลายสูตรด้วยกัน ได้แก่ อาหารสูตรลูกสุนัข อาหารสูตรสุนัขโต และอาหารสูตรสุนัขแก่ การให้อาหารก็ควรให้ตรงตามอายุและสูตร เนื่องจากสุนัขในแต่ละวัยนั้นมีความต้องการอาหารที่แตกต่างกัน อย่างเช่น ลูกสุนัข จำเป็นต้องได้รับสารอาหารจำพวกโปรตีนสูงกว่าสุนัขโต ในขณะที่ร่างกายของสุนัขโตจะต้องการอาหารประเภทพลังงานมากกว่าโปรตีน อย่างนี้เป็นต้น และปริมาณการให้อาหารก็ไม่ควรมากจนเกินไป เพราะพุดเดิ้ล จัดเป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่กินไม่มาก

          นอกจากเรื่องของโภชนาการแล้ว การให้อาหารสุนัขยังควรคำนึงถึงความสะอาดเป็นสำคัญ เจ้าของต้องคอยหมั่นดูแลภาชนะใส่อาหารและสถานที่กินให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่าง ๆ ที่พร้อมจะทำร้ายสุนัขของเรา ส่วนในด้านการดูแลความสะอาดของพุดเดิ้ลจะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องหู เพราะพุดเดิ้ลมีใบหูที่ใหญ่ หนา ห้อยปรกลงมา จึงต้องหมั่นสำรวจดูใบหูบ่อย ๆ แล้วใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดให้หมดจด ซึ่งจะดีมากหากจะหยอดน้ำยาเช็ดหูเข้าไปก่อนประมาณ 5 นาที เพื่อทำให้สิ่งสกปรกอ่อนตัว และง่ายในการเช็ดออกมา แต่ระวังอย่าแหย่สำลีลึกจนเกินไป เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อหูชั้นในได้

          นอกจากนี้ ตาก็เป็นอวัยวะสำคัญที่พบปัญหา พูเดิ้ลส่วนใหญ่จะมีร่องน้ำตาที่เห็นได้ค่อนข้างชัด ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คราบน้ำตาหรือสิ่งสกปรกไปหมักหมมได้ง่าย เจ้าของจึงควรคอยเช็ดทำความสะอาดให้ทุกวัน เพราะหากทิ้งไว้นาน ๆ คราบนั้นจะฝังแน่นอย่างถาวร เช็ดไม่ออก นอกจากนั้น ยังควรหมั่นตรวจดูดวงตาของพูเดิ้ลด้วยว่ามีฝ้าขาว ๆ หรือรอยขีดข่วน รอยแผลบ้างหรือไม่

          อ่านบทความสุนัขพันธฺุ์พุดเดิ้ล ได้ที่นี่

หมาปั๊ก
หมาปั๊ก

หมาปั๊ก
หมาปั๊ก



 
3. ปั๊ก

          ในปัจจุบัน คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักสุนัขสายพันธุ์ปั๊กเป็นแน่ เนื่องด้วยกระแสความนิยมในสุนัขสายพันธุ์นี้ที่เริ่มมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะด้วยอุปนิสัยน่ารักน่าเลี้ยงก็ดี หรือจะด้วยรูปร่างหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ ชวนให้หัวเราะแล้วอารมณ์ดีทุกคราที่มองปั๊กน้อย สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่ทำให้คนไทยหันมาเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้มากขึ้นตามลำดับ

          ด้วยความร่าเริงที่ไม่เหมือนใคร หน้าตาแลดูฉงนปนทะเล้น และอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปั๊กไม่เพียงแต่เป็นที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ยังแพร่หลายมากขึ้นทั่วโลกอีกด้วย

 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปั๊ก

           สุนัขพันธุ์นี้เป็นที่นิยมเลี้ยงกัน มากในปัจจุบัน เนื่องจากมีนิสัยน่ารัก ถึงหน้าตาของเขาจะดูเหมือนคิดมากไปสักหน่อย แต่ถ้าได้ลองเลี้ยงแล้วจะหลงใหลไม่รู้ตัว เพราะความอ่อนโยนของมัน ข้อควรระวังในการเลี้ยงคือสภาพอากาศที่ร้อน ปั๊กจะทนไม่ค่อยได้ ถ้าทนไม่ไหวอาจเป็นลมแดดได้ และถ้าอากาศเย็นควรให้อยู่ในที่อุ่น ๆ หรือหาเสื้อมาสวมให้เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัด

 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์ปั๊ก
         แม้สุนัขพันธุ์นี้จะไม่ต้องการการ ดูแลเสริมสวยให้ยุ่งยากมากนัก แต่ก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาความสะอาดทุกวัน อีกทั้งการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของการออกกำลังกาย ก็เป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ปั๊กจะไม่ใช่สุนัขที่รักกีฬา แต่การพาเขาไปออกกำลังกายให้พอเพียง ก็จะช่วยให้เขาไม่อ้วนและกลายเป็นสุนัขที่เฉื่อยชาจนเกินไป

         เนื่องจากรูปทรงของตาและใบหน้าทำให้สุนัขสายพันธุ์นี้มีแนวโน้มที่จะเกิดการบาดเจ็บที่ตาได้ง่าย ถ้าปั๊กของคุณกำลังถูตาอยู่ กระพริบตาถี่ ๆ มีน้ำตาไหลมากเกิน หรือตามีการเปลี่ยนสีไป ควรปรึกษาสัตวแพทย์ของคุณโดยทันที และการที่เป็นสุนัขจมูกสั้น เขาจึงมักมีปัญหาเกี่ยวกับเพดานปากอ่อน จึงจำเป็นต้องตรวจสอบอยู่เสมอ

          นอกจากนี้ ปั๊กยังมีความเสี่ยงที่จะอ้วนได้ง่าย ดังนั้น การควบคุมปริมาณอาหารและการออกกำลังกายจึงเป็นสิ่งจำเป็น โครงสร้างกะโหลกศีรษะที่สั้น ส่งผลให้ปั๊ก มักมีปัญหาระบบทางเดินหายใจส่วนต้น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรือภายหลังการออกกำลังกายอย่าง หนัก จึงควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มากเกินไป และการเลี้ยงดูในสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูง


             อ่านบทความเรื่องสุนัขพันธุ์ปั๊กได้ที่นี่ 





 5. ชิวาวา


        จะเห็นได้ว่าเซเลบฯในฮอลลี้วู้ดหลายคนชอบหิ้วเจ้ามะหมาตัวเล็กกระจิ๊ดริดไว้ในกระเป๋าข้างกาย เจ้ามะหมาที่ว่านั่นจะเป็นพันธุ์ใดไม่ได้เลย หากไม่ใช่พันธุ์ชิวาวา ซึ่งจัดได้ว่าเป็นสุนัขพันธุ์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก และในปัจจุบันสุนัขพันธุ์ชิวาวากำลังเป็นที่นิยมกันมากของเหล่าผู้ที่รักสุนัข เพราะด้วยขนาดตัวของมันและอุปนิสัยที่ขี้เล่น น่ารัก ผู้คนส่วนใหญ่จึงนิยมนำเจ้าชิวาวามาเลี้ยงนั่นเอง


 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ชิวาวา

        หลาย ๆ คนลงความเห็นว่า สุนัข ชิวาวา มีนิสัยที่ค่อนข้างติดเจ้าของและไม่ทำลายข้าว ขี้ประจบมาก อ้อน บางครั้งก็เป็น สุนัข ที่หยิ่งในตัว ถ้าไม่ใช่เจ้าของจะไม่ให้จับต้อง ปากเปราะเห่าเสียงดังเหมือน สุนัข พันธุ์เล็กตัวอื่น ๆ ทำให้ สุนัข ชิวาวา เหมาะที่จะเลี้ยงไว้สำหรับเป็นเพื่อนมากกว่าหมาเฝ้าบ้าน แต่จากการสำรวจของเดลิเมล์ พบว่า ชิวาวา สามารถสร้างความเสียหายให้เจ้าของได้เฉียด 40,000 บาท ตลอดช่วงอายุขัยของมัน เรียกได้ว่า เป็นรองแค่สุนัขพันธุ์เกรทเดนที่สร้างความเสียหายให้ทรัพย์สินและที่อยู่อาศัยของเจ้าของเฉลี่ย 41,540 บาท โดยอาจอ้างได้ว่าเป็นเพราะขนาดตัวของสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดใหญ่

 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์ชิวาวา

          สุนัขพันธุ์ชิวาวาเพศผู้อายุ 1 ปี จะเริ่มเป็นสัดซึ่งเร็วกว่าเพศเมีย เริ่มเหล่หนุ่มตอนช่วงอายุ 18 เดือน หลังจากผสมพันธุ์แล้วตกลูกเต็มที่ 1-3 ตัว น้ำหนักตั้งท้องจะมีขนาด 2 กิโลกว่า ลูกสุนัข มีน้ำหนัก 1 ขีด ไม่เกิน 2 ขีด มีขนาดเล็กมาก แรกเพิ่งคลอดต้องคอยดูแลให้ สุนัข กินนมแม่ ซึ่งช่วงนี้ควรระวังเรื่องโรคต่าง ๆ

          พออายุราวเดือนครึ่ง ควรเริ่มฝึกให้ สุนัข ชิวาวา กินอาหารเม็ดด้วยการแช่น้ำให้นิ่ม หรือผสมนมแพะเล็กน้อย หรือให้ อาหารเหลวสำหรับ ลูกสุนัข เป็นการฝึกให้สุนัขเลียหรือกินอาหารได้เอง

           อ่านบทความเรื่องสุนัขพันธุ์ชิวาว่าได้ที่นี่ 






 6. เฟรนช์ บูลด็อก 

        เป็นเรื่องขำขำที่ว่า ท่าไม้ตายของเจ้าหมาที่ชื่อ เฟรนช์ บูลด็อก นั้นเป็นหน้านิ่ง ๆ ที่ดูแล้วไม่รู้ว่าอารมณ์ไหน เพื่อที่จะหลอกล่อให้เราเข้าใกล้ เพราะหากเผลอสัมผัส ลูบไล้เจ้า เฟรนช์ บูลด็อก เมื่อใด รับรองได้ว่าคุณจะรู้สึกเหมือนโดนน็อกด้วยตาโต ๆ หน้าย่น ๆ หูกางคล้ายค้างคาวที่มองไปมองมากลับดูมีเสน่ห์ และสุดท้ายก็ตกเป็นทาสรักของเฟรนช์ บูลด็อกอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว


 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธฺุ์เฟรนช์ บูลด็อก

          ฉลาด กล้าหาญ ร่าเริง ชอบเล่น ชอบออกกำลังกาย และตื่นตัวอยู่เสมอ เป็นมิตร เข้ากับคนและสัตว์อื่น ๆ ได้ดี เฟรนช์ บูลด็อก เป็นสุนัขที่เห่าน้อย ไม่ทนต่ออากาศร้อน โดยเฉพาะตัวที่นำเข้าจากต่างประเทศ อาจจะยังปรับตัวไม่ได้ แต่สำหรับสุนัข เฟรนช์ บูลด็อก ที่เกิดในเมืองไทยจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสภาวะอากาศเท่าไรนัก

 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์เฟรนช์ บูลด็อก 

          ด้วยความที่เป็นสุนัขขนสั้น เฟรนช์ บูลด็อก จึงไม่ต้องการการดูแลมาก แต่เจ้าตูบจะผลัดขนในช่วงหน้าร้อน การออกกำลังกายทำได้ง่าย โดยพามันเดินเล่นรอบ ๆ บ้าน หรือโยนลูกบอลเล่นกับมัน นอกจากนี้ มันไม่ชอบการถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ผู้เลี้ยงต้องให้ความสำคัญ กับเรื่องระบบการหายใจของสุนัขด้วย  หายใจทางปากถี่ขึ้นจนผิดปกติ ควรรีบนำมันเข้าที่ร่มหรือห้องแอร์โดยเร็ว และหากมั่นใจว่ามันอาจจะเป็นฮีทสโตรก (ชักเนื่องจากความร้อน) ควรลดอุณหภูมิร่างกายของมันให้เร็วที่สุด เช่น เอาน้ำราด เอาน้ำแข็งไปโปะ แล้วพาไปหาหมอให้ฉีดยากันชักโดยเร็ว

          ส่วนเรื่องการกินข้าวของเจ้าหมาพันธุ์นี้ หากเจ้าของกินข้าวเวลาเดียวกันกับ เฟรนช์ บูลด็อก เห็นทีจะต้องทำใจในเรื่องมารยาทในการกินอาหารของมันหน่อยนะ เพราะ เฟรนช์ บูลด็อก จะกินข้าวด้วยเสียงจุ๊บจั๊บให้ได้ยินกันถ้วนหน้า เมื่ออิ่มแล้วมันก็จะมานอนบนตักของคุณและเริ่มผายลมออกมาเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งท้องไส้เริ่มหายปั่นป่วน มันก็จะนอนหงายท้องอย่างสบายใจ แล้วเริ่มกระบวนการกรนเสียงดังเพื่อให้คุณคลายเหงา (อิอิ)

          อ่านบทความสุนัขพันธุ์เฟรนช์ บูลด็อก ได้ที่นี่ 







 7. แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          เจ้าตูบตัวจ้อย ฉลาด น่ารัก แต่แอบซนสุด ๆ อย่างสุนัข พันธุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย (Jack Russell Terrier) กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพราะมันเหมาะสำหรับเลี้ยงในบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะแจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรียข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ หรือ เจ้าของ ดังนั้น จึงเหมาะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา และด้วยบุคลิกอันกระฉับกระเฉงของมันจะทำให้คุณเพลินกับมันไปได้อย่างง่ายดาย


 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          สุนัขพันธุ์นี้สามารถมีชีวิตได้นานถึง 14 ปี แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นนักล่าตัวเล็ก ๆ ที่ยอดเยี่ยม พวกมันเป็นสุนัขที่ฉลาด ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่เขาเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน โดยในอดีต แจ๊ค รัสเซลล์ จะไล่ล่าไปตั้งแต่สุนัขจิ้งจอกจนถึงหนูตัวเล็ก ๆ พวกมันจะใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ก่อนจะทำการไล่ล่า เพื่อความแม่นยำ

          นอกจากนี้ สุนัข แจ๊ค รัสเซลล์ ยังเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ เหมาะเป็นทั้งสุนัขที่เลี้ยงในบ้าน และก็สามารถพาออกไปนอกบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติความอยากรู้อยากเห็นจนถึงขั้นซนของ แจ็ค รัสเซลล์ ทำให้ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องให้เขาอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดี


 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          ผู้เลี้ยงจำนวนมากมักมีความคิดว่า หากน้องหมาทานแต่อาหารเม็ด น้องหมาจะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ถูกปาก และไม่อยากทาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาที่สุดก็คือ อาหารเม็ดสำเร็จรูปเหล่านี้นั่นเอง เนื่องจากอาหารเม็ดสำเร็จรูปจะมีการคำนวณปริมาณสารอาหารต่าง ๆ ที่น้องหมาควรได้รับต่อมื้อมาอย่างพอดี โดยผู้เลี้ยงควรให้น้องหมาทานอาหารตามสูตรและให้ในปริมาณที่เหมาะสมตามที่ระบุไว้ข้างถุง หรือข้างกล่องของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้น้องหมาของเราได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและไม่มากหรือน้อยจนอาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพตามมาภายหลัง

          แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อย และการอาบน้ำเพียงเดือนละครั้งก็เพียงพอต่อความต้องการของน้องหมาแล้ว เนื่องจากพวกมันไม่มีต่อมเหงื่อเหมือนกับคนเรา การอาบน้ำบ่อย ๆ อาจทำให้ผิวหนังของน้องหมาแห้ง แต่อาจเพิ่มจำนวนครั้งในการอาบน้ำได้ตามสมควร หากว่ามันออกไปเล่นจนสกปรกมากเกินไป

          แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่มีลักษณะนิสัยกระฉับกระเฉง และตื่นตัวเป็นอย่างมาก จึงทำให้น้องหมามีความต้องการและชอบการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ แต่การพาน้องหมาไปออกกำลังกายนอกบ้าน หรือบริเวณพื้นที่สาธารณะนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะนิสัยของสุนัขสายพันธุ์ แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นพิเศษ เพราะพวกมันมีแนวโน้มที่จะวิ่งไล่กวดสุนัขหรือสัตว์อื่น ๆ ที่พบเห็นได้โดยง่าย ผู้เลี้ยงจึงควรใส่สายจูงให้มันทุกครั้งเมื่อพามันออกไปเดินเล่นหรือออกกำลังกาย

          อ่านบทความสุนัขพันธุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย ได้ที่นี่ 




 8. ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย

          หากพูดถึงสุนัขโนเนมแห่งท้องทุ่งและเหมืองถ่านหินอ้างว้างห่างไกลเมืองยอร์คเชียร์ ทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ มีชีวิตประจำวันเป็นสุนัขใช้งาน รับหน้าที่ในการตามล่าและไล่จับเจ้าหนูตัวร้ายจอมป่วน... แต่มาวันนี้ หากลองพิมพ์ชื่อของเจ้าตูบแสนซนนี้ลงในอินเทอร์เน็ต คงมีเรื่องราวมากมายปรากฎขึ้นให้อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว หลายคนคงนึกออกแล้วใช่ไหมล่ะว่า เรากำลังพูดถึงเจ้าสุนัขตัวน้อยขนยาวสายพันธุ์ ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย (Yorkshire Terrier) หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า "ยอร์คกี้" นั่นเอง


 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย

          ยอร์คเชียร์ เป็นสุนัขตัวเล็กที่เปี่ยมด้วยพลัง ชอบเล่น และอยากรู้ อยากเห็น นอกจากนั้น ยังชอบผจญภัย รักอิสระ และไม่ค่อยรู้จักความกลัว ด้วยความเป็นสุนัขที่มีนิสัยกล้าหาญ ไม่เกรงกลัวใคร ทำให้ยอร์คเชียร์มักไม่สนใจว่าตัวเองนั้นตัวเล็กกระจิดริดแค่ไหน เมื่อเจอคนแปลกหน้า ยอร์คเชียร์จึงพร้อมที่จะเห่าเตือนเจ้าของเสมอ

          สุนัข ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย เหมาะกับคนทุกช่วงอายุ และเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดีสำหรับคนโสดหรือผู้ไม่มีบุตร หากบ้านใดมีเด็กเล็กอยู่ในครอบครัว ควรสอนเด็กให้รู้จักวิธีปฏิบัติตัวและวิธีเล่นกับ ยอร์คเชียร์ เพราะหากเด็กเล่นกับมันแรง ๆ ก็อาจทำให้มันบาดเจ็บได้ง่าย เพราะมันตัวเล็กและบอบบาง บางทีอาจอันตรายถึงชีวิต หรือหาก ยอร์คเชียร์ ถูกเด็กแกล้งเป็นประจำ ก็จะทำให้นิสัยของมันเปลี่ยนเป็นก้าวร้าว โมโหง่าย หรืออาจถึงขั้นกัดคน หากพ่อแม่รู้จักสอนลูก ๆ ให้ปฏิบัติตัวต่อยอร์คเชียร์อย่างดีแล้ว มันก็จะเป็นสัตว์เลี้ยงของครอบครัวที่ดีได้เช่นกัน


 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย 

          การอาบน้ำให้สุนัขยอร์คเชียร์ อาจทำแค่ 1 ครั้งต่อเดือน ก็เพียงพอ การอาบน้ำควรทำในสถานที่ที่อากาศอบอุ่น ก่อนอื่นต้องใช้สำลีอุดหูทั้งสองข้างเพื่อกันน้ำเข้าหู จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งรองบริเวณอกของเขาเพื่อจับให้มันยืนขึ้น (หากเป็นไปได้ ควรหาผ้ารองกันลื่นมาวางรองพื้นเพื่อไม่ให้ขาของมันลื่นไถลไปมาเวลาที่คุณจับมันยืน) เปิดน้ำจากฝักบัวอย่าให้แรงมากนัก ค่อย ๆ รดตัวมันให้เปียกจนทั่ว ชโลมแชมพูให้ทั่วตัวและถูเบา ๆ ล้างทำความสะอาดบริเวณศีรษะและใบหน้าเป็นอันดับสุดท้าย

          ทั้งนี้ ต้องระวังอย่าให้แชมพูเข้าปากและตาของเจ้ายอร์คกี้ จากนั้นล้างแชมพูออกด้วยน้ำสะอาด แล้วเช็ดด้วยผ้าขนหนู ก่อนจะนำไปเป่าขนให้แห้งด้วยไดร์เป่าที่ใช้ความร้อนพอเหมาะ เสร็จแล้วจึงใช้แปรงหวีขนเบา ๆ ซึ่งการแแปรงขนให้ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำทุกวันสำหรับสุนัขพันธุ์นี้

          ส่วนเรื่องอาหารการกินของสุนัขยอร์คเชียร์ ควรจะเป็นอาหารเม็ดจะดีที่สุด เพราะมีความสะดวกในการเก็บรักษา ในลูกสุนัขควรเลือกอาหารสูตรลูกสุนัข ซึ่งมีปริมาณโปรตีนสูง แต่สำหรับยอร์คกี้ ที่โตแล้ว อาจเลือกอาหารที่มีปริมาณโปรตีนเป็นส่วนประกอบขั้นต่ำ ประมาณร้อยละ 20 ก็เพียงพอ และอาจผสมอาหารเปียกลงไปในอาหารเม็ดเพื่อเพิ่มความน่ากินเป็นบางครั้งก็ได้

          อ่านบทความสุนัขพันธุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย ได้ที่นี่ 









 9. ปักกิ่ง

          ปักกิ่ง เป็นสุนัขขนาดเล็กที่น่าสนใจสายพันธุ์หนึ่ง พวกมันมีบุคลิกลักษณะผสมกันระหว่างความน่ารักประหลาด ๆ มีหน้าตาสั้น ๆ แบน ๆ จมูกทู่ ๆ ตากลมโต และยังขึ้นชื่อในเรื่องความทรนง เคยได้รับฉายา "ราชาแห่งสุนัข" ด้วยแหนะ สำหรับในประเทศไทยเรา สุนัขพันธุ์ปักกิ่งเคยเป็นสุนัขที่ฮอตฮิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลดความนิยมลง เพราะสายพันธุ์แท้ ๆ ในปัจจุบันเริ่มหายาก  การเลี้ยงดูค่อนข้างลำบาก และอากาศในบ้านเรา เป็นศัตรูตัวฉกาจของปักกิ่ง แต่ก็ยังคงผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลในเสน่ห์ของสุนัขพันธุ์นี้


 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ถึงแม้จะเคยเป็นสุนัขที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ในวัง แต่สุนัขพันธุ์ปักกิ่งก็มีนิสัยกล้าหาญเกินตัว ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ พวกมันไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทน ฉะนั้น จึงทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี และที่เด่นชัดเป็นที่สุด ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ และเลี้ยงง่าย ทั้งยังรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย

          นอกจากนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่งยังสุภาพ เป็นมิตร รักสนุกและชอบเล่น แม้ว่าในบางอารมณ์สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะดื้อดึงไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ อันเป็นนิสัยที่มีอยู่ในสายเลือด จนบางครั้งอาจดูเหมือนดื้อ เอาแต่ใจ หากแต่ก็ไม่ดื้อจนไม่เชื่อฟัง ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี และได้รับความรักมากพอ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ก็น่ารักไม่ต่างไปจากเพื่อนตูบสายพันธุ์อื่น ๆ เลยสักนิด

          อย่างไรก็ดี สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ไม่ค่อยชอบเด็กและเข้ากับสุนัขตัวอื่นได้ยาก แต่หากเจ้าของเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่ยากเกินไปนักที่ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะทำใจยอมรับกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างสายพันธุ์


 การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ขนยาว ๆ หนา ๆ ของปักกิ่ง จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้เลี้ยงควรแปรงขนและทำความสะอาดขนให้ปักกิ่งเป็นประจำ และยังต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณตา หู ตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ นอกจากนั้น ควรจูงสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอในระยะทางที่ไม่ไกลนัก

          และด้วยจมูกสั้นแบน แถมยังจมลึกอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง จึงทำให้ระบบการหายใจของปักกิ่ง เป็นไปอย่างลำบาก น้องหมาพันธุ์นี้จะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นได้ดีเท่าใดนัก ฉะนั้น สุนัขพันธุ์ปักกิ่งจึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงนอกบ้าน หากเปิดแอร์ให้บ้างก็จะดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม  สถานที่เลี้ยง สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ต้องเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย 

          อ่านบทความสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ได้ที่นี่ 





10. บีเกิ้ล


          ในระยะนี้เรามักได้เห็นความน่ารักของเจ้าตูบพันธุ์บีเกิ้ลผ่านสื่ออยู่บ่อย ๆ จนทำให้หลายคนตกหลุมรักเจ้าตูบพันธุ์นี้ซะจนอยากได้มาเป็นเลี้ยงสักตัว ก็เพราะเจ้าบีเกิ้ลเป็นน้องหมาที่มีใบหน้าน่ารัก หูปรก ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน แถมยังเป็นสุนัขที่รักเด็ก เข้ากับคนง่ายและเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ด้วยนะ แถมมันยังติดอันดับหนึ่งในสิบสุนัขที่มีความนิยมมากว่า 30 ปี และเป็นอีกหนึ่งพันธุ์ที่นิยมในอเมริกา ใน U.K.C. ของสหรัฐอเมริกา 

 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล 

          บีเกิ้ลเป็นสุนัขที่สุภาพ พวกมันค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ดุร้ายเกินไปหรือเฉื่อยชาเกินไป ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม แต่มันก็เชื่องคนง่ายเกินจึงไม่เหมาะที่จะเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน ทว่ามันยังคงเห่าหรือหอนบ้าง เมื่อเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า

          นอกจากนี้ บีเกิ้ลยังเป็นสุนัขที่เหมาะกับเด็ก ๆ เข้ากับเด็กๆ ในบ้านดี ๆ ไม่พบประวัติการทำร้ายเด็ก บีเกิ้ลจึงเป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันในครอบครัว และบีเกิ้ลยังเข้ากับสุนัขสายพันธุ์อื่นได้ง่าย พวกมันแข็งแรงมาก จึงวิ่งเล่นได้นานโดยที่ไม่เหนื่อยง่ายๆ อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติพวกมันเป็นสุนัขที่อยู่เป็นฝูง เวลานำไปเลี้ยงเดี่ยวจึงอาจเกิดอาการซึมเศร้าได้ และแม้ว่าบีเกิ้ลจะมีพลังเห่าหอนอันรุนแรง แต่ไม่ใช่บีเกิ้ลทุกตัวที่จะหอน แต่ส่วนมากจะเห่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งบางตัวจะเห่าหรือหอน เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งโดยเฉพาะ


 การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล 

          แม้ว่าสุนัขสายพันธุ์นี้จะมีขนาดเล็ก แต่ด้วยเหตุที่จุดประสงค์ดั้งเดิมที่เค้าถูกพัฒนาขึ้นมาคือการเป็นสุนัข สำหรับล่าสัตว์ ทำให้พวกเค้ามีพลังงานในตัวมากและชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงจึงควรพาไปออกกำลังกายบ้างอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น และหากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่มีบริเวณกว้างขวางนัก อย่างเช่น คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนต์ คุณก็จะต้องพิจารณาให้ดีว่าคุณพอมีเวลาและมีสวนสาธารณะใกล้เคียงที่คุณสามารถพาเค้าไปเดินเล่นออกกำลังได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี สุนัขเหล่านี้ต้องอยู่ในบริเวณที่มีรั้วรอบขอบชิด เพราะพวกมันช่างไม่มีสัญชาตญาณในการระวังภัยบนท้องถนนเอาเสียเลยและมักมีความเข้าใจอย่างผิด ๆ ว่ารถทุกคันจะหยุดรอให้พวกมันไปก่อน

          ด้านการดูแลทำความสะอาดให้สุนัขขนสั้นอย่างบีเกิ้ลนั้นแสนง่าย แค่อาบน้ำให้อาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอ จากนั้นก็เช็ดหรือเป่าตัวให้แห้งพร้อมๆ กับแปรงขนไปด้วย หรือถ้าไม่สกปรกมากอาจใช้แค่ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดตัวให้ก็ได้ ส่วนเรื่องการแปรงขนให้บีเกิ้ลสามารถทำได้โดยง่าย เนื่องจากว่าเค้ามีขนสั้นและสีเข้ม ซึ่งควรแปรงขนทุกๆ 3-4 วัน เพื่อกำจัดเส้นขนที่ตายแล้วออกไปและช่วยเพิ่มความเงางามแข็งแรงแก่เส้นขน

          ส่วนเรื่องอาหารการกิน หากเราต้องการให้เค้ามีสุขภาพแข็งแรง เติบโตสมวัย ก็ต้องใส่ใจเรื่องนี้ให้มาก ซึ่งวิธีการให้อาหารแก่บีเกิ้ลที่ถูกต้องก็จะเป็นไปตามช่วงวัยนั่นเอง

          อ่านบทความสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล ได้ที่นี่